คลอโร ฟิลล์ : คือ สารประกอบที่ทำให้พืชมีสีเขียวและทำหน้าที่หลัก คือ สังเคราะห์แสง โดยการเปลี่ยนพลังงานจากแสงอาทิตย์ ก็าซคาร์บอนไดออกไซด์และแร่ธาตุต่างๆ จากดินให้กลายเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช รวมทั้งให้ก๊าซออกซิเจนที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ คลอโรฟิลล์ธรรมชาติมีหลายชนิด บางชนิดสังเคราะห์แสงได้ในที่มีแสงแดดเท่านั้น แต่บางชนิดสังเคราะห์แสงได้แม้ในที่ไม่มีแสง เช่น ในร่างกายของคน จึงมีการค้นคว้าเกี่ยวกับการทำงานหรือปฏิกริยาของคลอโรฟิลล์ต่อคน พบว่าคลอโรฟิลล์ที่อยู่ในเซลล์ของพืชทั่วไปจะถูกปกป้องและปิดกั้นด้วยผนัง หรือเยื่อหุ้มเซลล์อีกชั้นหนึ่ง ทำให้ระบบการย่อยอาหารปกติของร่างกายเราไม่สามารถบดย่อย เพื่อให้ได้สารคลอโรฟิลล์เพียงพอกับความต้องการของร่างกายเราได้ ถึงแม้ว่าจะบริโภคผักใบเขียวเป็นจำนวนมากในแต่ละวันก็ตาม อีก ทั้งคลอโรฟิลล์โดยตัวของมันเองละลายน้ำไม่ได้ จะละลายได้ในไขมันหรือในแอลกอฮอลล์บางชนิดเท่านั้น แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน เราสามารถสกัดเอาเฉพาะสารคลอโรฟิลล์ออกมาได้อย่างสมบรูณ์และบริสุทธิ์ โดยปราศจากการสูญเสียคุณค่าทางอาหารตามธรรมชาติ ร่างกายจึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีอย่างเต็มที่ และเป็นคลอโรฟิลล์ชนิดละลายน้ำได้ จึงดูดซึมได้ทันทีในกระเพาะอาหาร ในกรณีที่ร่างกายใช้ไม่หมด จะถูกขับทิ้งไปทางระบบขับถ่ายไม่สะสมไว้ในร่างกาย ผิดกับคลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายในไขมัน จะไม่ถูกดูดซึมที่กระเพาะอาหารแต่จะย่อยและดูดซึมได้ในลำไส้เล็ก คลอโรฟิลล์ชนิดนี้เมื่อร่างกายใช้ไม่หมดจะถูกส่งไปสะสมไว้ที่ตับในระยะเวลา หนึ่ง ซึ่งอาจจะเกิดอันตรายต่อตับได้ องค์การอาหารและยาสหรัฐจึงให้การรับรอง เฉพราะคลอโรฟิลล์ที่ละลายน้ำได้เท่านั้น ว่าปลอดภัยต่อการบริโภคของคน ด้วยสูตรโครงสร้างของโมเลกุลที่ใกล้เคียงกับโมเลกุลของ เม็ดเลือด แดงต่างกันเฉพาะตรงกลางที่คลอโรฟิลล์มีแมกนีเซียม (Mg) และเม็ดเลือดแดงมีเหล็ก จึงทำให้สีต่างกัน คือคลอโรฟิลล์มีสีเขียวแต่เม็ดเลือดแดงมีสีแดง จากจุดนี้เองที่ทำให้คลอโรฟิลล์ถูกเรียกว่า เลือดของพืช ผลการวิจัยทาง วิทยาศาสตร์การแพทย์มากมาย สรุปตรงกันออกมาว่า คลอโรฟิลล์สามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงได้จนผู้ทำวิจัยได้รับรางวัล โนเบลไปแล้วถึง 2 ท่านด้วยกันคือ ดร.ริชาร์ด วินสเตตเตอร์(Dr.Richard Winstater) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยออสเตรีย ในปี คศ.1915 และ ดร.ฮันส์ ฟิชเชอร์(Dr.Hans Fisher M.D.) นายแพทย์ชาวเยอรมันในปีคศ.1930 ผู้ซึ่งค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างเม็ดเลือดแดงและคลอโรฟิลล์ในบางเงื่อนไข สามารถแทนที่ศูนย์กลางของคลอโรฟิลล์ด้วยเหล็ก (Fe) จากอาหารธรรมชาติบางประเภท ทำให้อัตราการเพิ่มของเม็ดเลือดแดงดีขึ้น ทั้งนี้ แมกนีเซียม (Mg) ที่หลุดออกไปจากศูนย์กลางโมเลกุลของคลอโรฟิืลล์ ก็จะทำหน้าที่พาแคลเซียม (Ca) เข้าไปอุดรูพรุนของกระดูกต่างๆ ทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น ในโพรงกระดูกซึ่งมีไขกระดูกอยู่ก็จะมีการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ในปริมาณที่ มากขึ้น -หน้าที่ของไขกระดูก คือ สร้างเม็เลือดแดงและปรับระดับความเป็นด่างในกระแสเลือด- การสกัดและวิเคราะห์คลอโรฟิลล์จากพืช กว่า 6000 ชนิด พบว่าพืชที่ให้คลอโรฟิลลืที่บริสุทธิ์และดีที่สุดคือ อัลฟัลฟ่า ซึ่งจัดเป็นพืชจำพวกที่มีฝักตระกูลถั่ว และมีระบบรากที่มหัศจรรย์มาก ในบางพื้นที่รากของอัลฟัลฟ่าสามารถชอนไชลงไปลึกกว่า 130 ฟุต จึงมีประสิทธิภาพในการดูดซึมอาหารได้มากกว่าและบริสุทธิ์กว่าอีกทั้งตัวของ มันเองจะไม่สะสมสารพิษ ชาวอาหรับโบราณรู้จักใช้ประโยชน์จากอัลฟัลฟ่า มากว่า 2000 ปี ก่อนคริสตกาล โดยใช้เป็นพืชเลี้ยงสัตว์และใช้ใบมาตากแห้งเป็นชาชงดื่ม จึงขนานนามให้เป็น ราชาแห่งอาหารทั้งมวล ประโยชน์ของอัลฟัลฟ่าสามารถใช้บำบัด อาการปวดบวม และอักเสบต่างๆ เช่น ปวดข้อ จนกระทั่งถึงความผิดปรกติในระบบทางเดินอาหารและเซลล์ตับถูกทำลาย นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าอัลฟัลฟ่าสามารถช่วยมำให้เลือดสะอาดขึ้น อัลฟัลฟ่าเป็นพืชที่ให้กรดอะมิโนที่จำเป็นครบทั้ง 8 ชนิด ซึ่งได้แก่ *กรดอะมิโนไอโซลิวซีน *ลิวซีน *ไลซีน *เมไธโอนีน *พีนิลอะลานีน *เทรโอนีน *ทริปโตฟาน *วาลีน กรดอะมิโนเหล่านี้ร่างกายสร้างเองไม่ได้ แต่จำเป็นต้องมีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในการสร้างเซลล์ใหม่ ในอัลฟัลฟ่ายังมี *วิตามินเอ *วิตามินบี6 *วิตามินบี12 *วิตามินดี *วิตามินอี และวิตามินเค รวมทั้ง เกลือแร่ เช่นฟอสฟอรัส โปรแตสเซียม แคลเซียม สังกะสี เซเลเนียม และแมกนีเซียม เป็นต้น นอกจากนี้ยังมี เอมไซม์หลักอีก 8 ชนิด คือ ไลเปส อาเมเลส โคกูเลส อีมูลซิน อินเวอร์เดส เปอร์อ๊อกซิเดส เพคติเนส โปรตีส มนุษย์เราต้องการเอมไซม์มากกว่า 3000 ชนิด แต่ร่างกายสร้างได้เองเพียงไม่กี่ชนิด นอกนั้นต้องบริโภคจากอาหารสดประจำวันประเภทพืชผักและผลไม้ต่างๆ แต่ถ้่าหากอาหารเหล่านี้ผ่านความร้อนเกินกว่า 55 ํC ขึ้นไป เอมไซม์ต่่างๆจะเสื่อมหรือเปลี่ยนรูปไปและร่างกายจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ร่างกายต้องการเอมไซม์เพื่อช่วยปรับระดับความสมดุลย์ของระบบภูมิคุ้มกัน ต่างๆ และจากวิธีการรับประทานอาหารในปัจจุบันนี้เราได้รับเอมไซม์เข้าไปในร่างกาย น้อยมาก ในอัลฟัลฟ่า ยังมีซาโปนิน ซึ่งเป็นสารที่มีผลในการลดการอุดตันของเส้นเลือดและช่วยยับยั้งคลอเลสเตอร อลชนิดเลว (LDL) ในเลือดลงได้ จึงช่วยลดความดันโลหิตลง ไอโซฟลาโวน , ฟลาโวน และ สเตอโรล ในอัลฟัลฟ่ายังช่วยกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจน และปรับระดับฮอร์โมนดังกล่าวในผู้หญิงทั้งก่อนมีรอบเดือน และอยู่ในวัยที่ใกล้จะหมดรอบเดือน |