| |
| | รายได้จากการเพาะเลี้ยงไข่ผำสายพันธุ์"อาร์ไรซ่า" ในการรับประกันราคา 200 บาท ต่อกิโลกรัม สมาชิก ความเสี่ยง เป็น 0 !!! |
| เพาะเลี้ยงในบ่อบกที่ทางบริษัทจัดจำหน่ายในราคาพิเศษเฉพาะสมาชิก เพียง 3,500 บาท(ครบชุด)ขนาด 2X5 เมตร=10 ตารางเมตร ใส่แม่พันธุ์ไข่ผำ 1 ขีด (100 กรัม)ต่อตารางเมตร จะผลิตไข่ผำได้จำนวน 5-6.5 ขีด ต่อ 7 วัน (ประมาณครึ่งกิโลกรัม/7 วัน) แต่สมชิกเพาะเลี้ยง 10 ตารางเมตรก็เท่ากับ 6.5 กิโลกรัม ขายในราคาประกัน 200 บาท/กก.เท่ากับขีดละ 20 บาท ท่านจะมีรายได้ 1,300 บาทต่อการเก็บ1 ครั้ง 1 เดือนเก็บได้ 4 ครั้ง ท่านจะมีรายได้ 5,200 บาทต่อเดือน ดังนั้น เมื่อท่านลงทุนไป 3,500 บาท ก็จะถอนทุนคืนได้ในเดือนแรกแล้ว แถมยังมีกำไรเหลืออีก 1,700 บาท เดือนต่อไปก็จะเป็นกำไรตลอด (ผ้าใบปูบ่อจะมีความคงทนอยู่ได้ประมาณ 5 ปี จึงจำเป็นเปลี่ยน ส่วนโครงสร้าง พีวีซี นั้นอยู่ได้เป็น 10-20 ปี และทุกท่านที่สมัครเข้าร่วมโครงการ ในราคารับประกัน ก็หมดห่วงเรื่อง ราคาไข่ผำในอนาคตจะตกต่ำลง เมื่อมีคนเพาะเลี้ยงกันมากขึ้นก็จะล้นตลาด แต่เพราะบริษัทเราเป็นบริษัทแปลรูปไข่ผำ เพื่อการส่งออกเป็นหลัก ดังนั้นท่านจึงไม่ต้องกังวนว่าผลิตแล้วจะไม่มีที่ขาย หรือขายไม่ได้ราคา เพราะท่านมีประกันราคา จึงสบายหายห่วง | (ถ้าท่านเลี้ยง 10 บ่อ ก็ 52,000 บาท/เดือนแรก)
| ลงทุน 35,000 บาท เดือนเดียว! ก็คืนทุนหมด!!! |
ซื้อ - ขาย - เงิน - เหรียญ - ธนบัตรเก่า โบราณ ของทุกประเทศทั่วโลก | | | . | | 
 |
|
| | อยากเป็นเศรษฐี ต้องเป็นนายหน้า *หาเหรียญเก่า แบงค์เก่ามาขายเรา* รวยเร็ว รวยง่าย รวยเงียบๆ # ทักไลน์มา ถ้ามี !!! |
|
|
|

สอนการดู กราฟแบบง่ายๆ "ศาสตร์แห่งการซื้อแพง แต่กำไร" มาดูกัน!! กับ "นักแกะรอยหยักสมอง" วันนี้ผม "นักแกะรอยหยักสมอง" ..จะมาแฉความลับ สวรรค์ ในเรื่องของกราฟหุ้น ...ว่าที่จริงแล้ว มันมิใช่ความลับแต่อย่างใด ...ใช่!! การอ่านกราฟ หรือ ที่เราเรียกว่า Technical Analysis ก็คือ การอ่าน Trend ว่ามีโอกาสที่ราคาหุ้นจะ "ขึ้น" หรือ "ลง" ก็เท่านั้นเอง ไอ้ตัวราคาหุ้นที่เราเอามา Plot เป็น "แท่งเทียน" ก็คือ การบันทึก "ราคาเปิด ปิด สูง ต่ำ รวมอยู่ในแท่งนั้นๆ" ..ดังนั้น ในแต่ละแท่งเทียน มันก็บอกได้ว่า ในวันๆนั้นมีการซื้อขายอย่างไรบ้าง ...แท่งแดงๆ ก็คือ ลงเยอะ ..แท่งเขียวๆ ก็คือขึ้น ...นั่นแหละ แท่งเทียน!! เอาล่ะครับ เมื่อเราเข้าใจเล็กน้อยว่า "แท่งเทียน" คือ ราคา ... ถ้าเราต้องการคาดเดาว่า ราคาพรุ่งนี้ "น่าจะขึ้น หรือ ลง" เราต้องเอา Indicator เข้ามาใส่ ...พูดง่ายๆ ว่า ติดอาวุธให้ Chart ราคานี่แหละ 
ผมเอาตัวอย่าง มาให้ดูกัน (ตัวอย่างนี้ เราใช้ Indicator เข้ามา 2 ชนิด "เครื่องมืออันแรก" ..ก็คือ EMA หรือ Moving Average "ใช้ดูค่าเฉลี่ย..คือ อะไรก็ตามที่อยู่เหนือค่าเฉลี่ย ก็แปลง่ายๆว่า มันอยู่ในขาขึ้น ...และอะไรอยู่ใต้ค่าเฉลี่ย ก็คือ ขาลงนั้นเอง ...ถ้าจะซื้อหุ้นแล้วหวังขึ้น ราคามันก็ควรจะอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย ..จริงไหม!! (พวกนี้แหละหลัก Common Sense ที่คนเล่นหุ้น แทบไม่เคยสนใจ เลยเจ๊งกันมากมาย คิดดีๆครับ)" "เครื่องมืออันที่สอง" ..ก็คือ MACD ...เขาบอกว่า มันเป็น "เทพแห่ง Indicator" เพราะมันแม่น (เพราะสัญญาณมันช้า จึงแม่น ก็แค่นั้นเอง) ...พูดง่ายๆว่า ถ้าไม่รู้ว่า Trend ของหุ้นอยู่ในทิศทางใด ...ให้ดู MACD "คือ ถ้ามันอยู่เหนือ 0 ก็คือ ขาขึ้น" ...ถ้ามันอยู่ใต้ 0 ก็คือ ขาลง" ...ดังนั้น คิดง่ายๆว่า ถ้าทั้งราคาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย และ MACD ก็อยู่เหนือศูนย์ ก็แปลง่ายๆเลยว่า "หุ้นตัวนั้น น่าจะขึ้นต่อไป" ....จริงๆ หลัก Technical มันง่ายนิดเดียว แต่คนส่วนใหญ่ ใช้ผิด ไปมองเป็นอวิชา อะไรก็ไม่รู้ ...แล้วคิดดีๆนะ ว่า อะไรสำคัญสุดในวิชา "ความน่าจะเป็น" ใช่!! สำคัญสุด คือ "มันอาจเป็น หรือ ไม่เป็นก็ได้ ...นั้นหมายความว่า หุ้นที่เรามองว่าขึ้น -- จริงๆ มันอาจจะขึ้น หรือ ไม่ขึ้นก็ได้ ... แต่สัญญาณทางสถิติมันบอกว่าน่าจะขึ้น -- จึงมีความน่าจะเป็นว่า "น่าจะขึ้น เราก็ซื้อตามทำกำไรได้" ... สิ่งที่ Make Sense มากๆ ถ้าเราจะเล่นกับความน่าจะเป็น ก็คือ การจำกัดความเสี่ยง ...เพราะถ้าเราเล่นการพนัน ความเสี่ยงมันสูงกว่า ผลตอบแทน ...แต่ถ้าเราลงทุน ผลตอบแทน ต้องมากกว่า ความเสี่ยง" ...สรุปคือ คนที่เล่น Technical ถ้าซื้อแล้ว ต้องปล่อยให้กำไรวิ่ง "Let Profit Run" ..ถ้าขาดทุนหรือ มองผิด ต้อง "จำกัดความเสี่ยง" ด้วยการ Cut Loss ...แค่นี้แหละ ...ศึกษาต่อเพิ่มเติม ไปอ่านหนังสือผม เช่น...แกะรอยหยัก Series , ฟรีด้อมเทรดเดอร์ หรือ คลินิกหุ้นมือใหม่ ... "หนังสือผมขายดี เพราะผมเขียน ช่วยคน 80% ที่ขาดทุนในตลาดนี่แหละ ...ไม่มีใครโง่เลยที่ขาดทุน เพียงแต่ที่เคยเดินมา มันผิดทาง ..คุณยังไม่มีอาจารย์ที่ดีก็เท่านั้นเอง ...ก็ชวนกันมาเดินอย่างรู้เท่าทันความโลภและความกลัวของตัวเอง ..และค่อยๆรวยไปด้วยกัน ในการลงทุนทั้งชีวิตครับ" มาดูกราฟกัน (ยกตัวอย่างเพื่อการศึกษา ...แต่เวลาเทรดจริง อย่าไปเชื่อใคร ..อย่าหวังจะมีใครเอาปลามายัดปากให้คุณกิน ...คนเราต้องพึ่งตัวเอง ..อย่าเอาเงินที่หามาทั้งชีวิตไปละลายโง่ๆ โดยไม่ศึกษาหาความรู้อย่างจริงจังก่อนครับ) ..เอาใจช่วยให้ทุกคน ศึกษาการลงทุนแบบจริงจัง ...เมื่อคุณเข้าใจ คุณรวยแน่นอน ..แล้วเราจะภูมิใจว่าเงินนี้ เราสร้างเองครับ "โคตรเท่ห์เลย ดูฉลาด...555" 
อย่างภาพนี้ ..ราคาอยู่เหนือเส้น Moving คือ ราคาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย ...แล้ว MACD ก็อยู่เหนือ 0 ...ดูก็รู้แล้วว่า สถิติของราคา มันบอกว่า โอกาสของการขึ้น มันมีมากกว่าลง ... ดังนั้น ก็ซื้อได้เลย ...แล้วอาจกำหนดความเสี่ยงตรงบริเวณที่ราคาเปลี่ยน Trend จากขาลงมาเป็น ขาขึ้น ที่ราคาประมาณ 140 บาท ...คือ ถ้าซื้อแล้วราคามันดันลงมาหลุด 140 ก็ต้องขายทั้งหมด (จุด 140 คือ จุด Stop Loss ของการลงทุนในครั้งนี้) ..."นี่แหละจำกัดความเสี่ยง คือ ยังไงเราก็เสียจำกัด ..เหมือนคนรู้แพ้ รู้ชนะ ..ถ้าแพ้ ก้ต้องยอมแพ้ แล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่ ก็แค่นั้นเอง ..จริงไหม!!" ....แล้วถ้าเข้าซื้อแล้วขึ้นจริง ..ก็ถือไปเรื่อยๆ Let Profit Run ..ถือไปจนกว่าราคาจะหลุด Moving อีกครั้ง ..เพราะตราบใดที่ราคาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย มันคือ ขาขึ้น จะขายทำไม ...นี่แหละ ที่หลายๆคนไม่เข้าใจ แล้วขายหมูตลอดเวลา ...ครับ ก็ลองศึกษากัน เพิ่มเติมกันดู "ไม่ง่าย ผมขอเตือน แต่ถ้าเอาจริง ผมเห็น สำเร็จทุกคน ช้าเร็วก็ว่ากันไป"...บทความวันนี้ผมเพียงอยากนำเสนอว่า จริงๆ แล้ว ที่คนส่วนใหญ่ขาดทุน เพราะใช้เครื่องมือผิด และ มุมมอง Mind Set ก็ผิดทาง ... ลองตั้งสติ แล้ว เดินบนทางแห่งปัญญาและความเข้าใจดีกว่าครับ "ใช้ชีวิตบนความเสี่ยงที่จำกัด ..ผลตอบแทน ไม่จำกัด" -- ยังไงก็รวย (ตอนนี้คนส่วนใหญ่ที่เล่นหุ้น เล่นด้วยผลตอบแทนจำกัด เพราะราคาขึ้นมาก็รีบขายหมู และความเสี่ยงไม่จำกัด เพราะราคาลงกว่าจุด Stop Loss ก็ดันถือต่อ แล้วปลอบใจตัวเองว่า พื้นฐานยังดีอยู่ ..บ้าหรือ เข้าด้วย สถิติ(เข้าแพง) แล้วออกด้วย พื้นฐาน ..เจ๊งทั้งชาติและครับ พวกนี้) ...คิดดีๆครับ เพื่อนๆ นักลงทุน!!
| อธิบายในส่วนของที่มี mark event ในกราฟ 
MA (Moving Average) เป็นเส้นกราฟที่เกิดจากค่าเฉลี่ยของราคาปิดในวันก่อนๆมาเฉลี่ยกัน (ตามค่าที่กำหนด ค่าพื้นฐานที่ผมตั้งใว้คือ 15 45 100 ถ้าอยากให้ใวกว่านี้อาจจะลดค่าลงไปตวามความเหมาะสม) Bullish Crossover/Golden Cross หมายถึงสัญญาณกระทิง จะเกิดในขาลง มีความหมายคือ มีโอกาศที่จะกลับตัวขึ้น เป็นสัญญาณซื้อ Bearish Crossover/Dead Cross หมายถึงสัญญาณหมี จะเกิดในขาขึ้น มีความหมายคือ มีโอกาศที่จะกลับตัวลง เป็นสัญญาณขาย | | 
BB (Bollinger Band) ความหมายก็ตามชื่อเลยครับ มองกราฟเหมือนเป็นเลนโบลิ่ง เส้นบนและล่างเหมือนร่องข้างๆเลน ถ้าเกินออกไปแสดงว่ามีสัญญาณ คือเมื่อชนเส้นข้างแล้วไม่ผ่านก็มักจะกลับตัวตรงกันข้าม มองแบบบ้านๆ ถ้าชนเส้นบน ก็มีสัญญาณขาย ถ้าชนเส้นล่าง ก็มีสัญญาณซื้อ (เส้นบนคือแนวต้าน เส้นล่างคือแนวรับ) | | 
MACD Crossover Bullish Crossover หมายถึงสัญญาณกระทิง จะเกิดในขาลง มีความหมายคือ มีโอกาศที่จะกลับตัวขึ้น เป็นสัญญาณซื้อ Bearish Crossover หมายถึงสัญญาณหมี จะเกิดในขาขึ้น มีความหมายคือ มีโอกาศที่จะกลับตัวลง เป็นสัญญาณขาย Histogram คือส่วนต่างของ MACD กับ Signal ใช้ดูว่าทั้งสองเส้นไกล้ตัดกัน หรือห่างกันแค่ใหน MACD0 หรือเส้นกลางของ Histogram ใช้บอกเทรนของตลาด ถ้าอยู่ได้เส้น หมายถึงขาลง ถ้าอยู่เหนือเส้นเป็นขาขึ้น | | 
RSI/STO Over Sold หมายถึงมีสัญญาณขายมากเกินไป (RSI น้อยกว่า 30/STO น้อยกว่า 20) จะเกิดในขาลง มีความหมายคือ มีโอกาศที่จะกลับตัวขึ้น เป็นสัญญาณซื้อ หรือใช้เตือนว่าราคาเริ่มถูกแล้ว Over Bought หมายถึงมีสัญญาณซื้อมากเกินไป (RSI มากกว่า 70/STO มากกว่า 80) จะเกิดในขาขึ้น มีความหมายคือ มีโอกาศที่จะกลับตัวลง เป็นสัญญาณขาย หรือใช้เตือนว่าราคาเริ่มแพงแล้ว Note: RSI ใช้ดูเทรนใหญ่ ส่วน STO จะใวกว่าใช้ดูเทรนย่อยๆ สัญญาณ ของ Over Sold/Over Bought มักจะให้สัญญาณที่ผิดในตลาดที่มีเทรนที่ชัดเจน แต่สามารถใช้เตือนให้ระวังเรื่องราคาที่ถูกหรือแพงเกินไปได้ | | 
ADX (Average Directional Index) ใช้สำหรับดูเทรนของตลาดในขณะนั้น เส้นสีเขียว (DI+) ตัดขึ้นไปอยู่เหนือเส้นสีแดง (DI-) หมายถึงเทรนขาขึ้น เส้นสีเขียว (DI+) ตัดลงไปใต้เส้นสีแดง (DI-) หมายถึงเทรนขาลง เส้นสีน้ำเงินหรือ ADX ใช้ดูความแข็งแรงของเทรน ว่ามีมากน้อยแค่ใหน ค่ายิ่งมากก็แสดงว่าแข็งแรงมาก | | วิธีการใช้ Indicator แบบมืออาชีพ
| |
| | กราฟแท่งเทียน 10 อย่างที่ควรรู้ Candlestick หรือ กราฟแท่งเทียนค่อนข้างมีหลายรูปแบบ แต่มีไม่กี่แบบเท่านั้นที่ค่อนข้างจะมีประโยชน์ตอ่การลงทุนจริงๆ ถ้าคุณรู้เอาไว้ แต่อย่าลืมนะครับว่าการที่รูปแบบกราฟเหล่านี้จะมีประโยชน์จริง คุณต้องเข้าใจว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร โดยผมจะแบ่งออก... 
|
| | Candlestick กราฟแท่งเทียน คืออะไร ? กราฟแท่งเทียน หรือ Candlestick ถูกใช้หนึ่งในเทคนนิคที่ถูกหยิบมาใช้มายาวนานกว่า 100 ปี โดย กราฟแท่งเทียน นั้นถูกคิดค้นครั้งแรกโดยชาวญี่ปุ่นชื่อ Homma เขาได้ค้นพบว่าในช่วงเวลานั้นราคาข้าว และ Demand หรือ ความต้องการนั้นมีจุดบางจุดที่เชื่อมโยง... 
|
| | พื้นฐานราคาหุ้น กับ RSI (Relative Strength Index) Relative Strength Index (RSI) ถือว่าเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่เราสามารถหยิบมาใช้เป็นตัววัดทิศทางของราคาหุ้นได้เช่นเดียวกับ Moving Average Convergance (MACD) และ Stochastic Oscillator RSI เป็นตัววัดความเร็วในการเคลื่อนไหว และ ทิศทางของราคาหุ้...

|
| | พื้นฐานเกี่ยวกับ Bollinger Bands® ในปี 1980 John Bollinger นักเล่นหุ้นทางเทคนิคได้คิดค้นดัชนีชี้วัดทางเทคนิคขึ้นมาตัวนึงโดยมีเส้ยค่าเฉลี่ย (Moving Average) และ เส้นอีกสองเส้นอยู่บนและล่าง โดยการคิดค่าเส้นของทั้งสองเส้นบนและล่างนั้นได้ใช้สูตร Standard Deviation หรือ ค่าเบี่ย...

|
| | MACD ใช้ยังไง SETInvestor มีคำตอบ การเริ่มต้นที่จะศึกษาทิศทางระยะสั้นของหุ้นตัวใดตัวหนึ่งในตอนเริ่มต้นนั้นค่อนข้างยากพอสมควรและมันจะยากที่สุดถ้าคุณไม่รู้จักเครื่องมีที่สามารถนำมาใช้ในการวิเคราะห์ได้ ซึ่งในบทความนี้เราจะพูดถึงหนึ่งใน Indicator ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในหมู่ T... เส้นแนวต้าน (Resistance Level) คือ ? เส้นแนวต้าน หรือ Resistance Level ที่นักลงทุนหน้าใหม่อาจจะได้ยินกันบ่อยมาก นั้นก็คือจุดที่ราคาขึ้นไปแตะหลายครั้งแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในการทำราคาที่สูงกว่าจุดนั้นได้ จึงกลายเป็นเส้นแนวต้าน ยิ่งราคาขึ้นไปแตะจุดนั้นมากเท่าไหร่ ณ ราคานั้นก็จ... 
|
| | เส้นแนวรับ (Support Level) คืออะไร ? เส้นแนวรับ หรือ Support Level คือเส้นที่ราคาหุ้นตกลงไปแต่ไม่สามรถลดลงต่ำกว่า เส้นแนวรับได้ ในอีกทางนึงจึงหมายความว่าเป็นราคาที่ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่สนใจเข้ามาซื้อ ดังนั้นทุกครั้งที่ ราคาลงมาแตะเส้นแนวรับ จึงเป็นเสมือนการทดสอบว่าในราคานั้นนั.. 
|
| | วิธีใช้ เส้นค่าเฉลี่ย (Moving Average) ในการซื้อหุ้น เส้นค่าเฉลี่ย หรือ Moving Average สามารถเรียนสั้นๆ ได้ว่า เส้น MA เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางเทคนิคค่อนข้างเป็นที่นิยมและใช้กันอย่างแพร่หลายในหมู่นักลงทุนเชิงเทคนิค ซึ่งสิ่งที่เราจะเห็นหลังจากเพิ่ม เส้นค่าเฉลี่ย ลงไปบนกราฟแล้วนั้นก็คือ เส้นที่.... 
|
| | |
| | |
| | |
| | |
| | |
| | |
| | |
| | |
| | |
| | |
| | |
| | | ทั้งนี้ technical ไม่สามารถคาดการณ์ได้ 100% นะครับ แค่เป็นหลักการทางสถิติ เพื่อใช้เป็นข้อมูลช่วยในการตัดสินใจแค่นั้น ดังนั้นอย่าเชื่อจนหมดใจว่ามันจะต้องเป็นไปตามกราฟ ให้เผื่อใจใว้เมื่อผิดพลาด และรู้จักบริหารความเสี่ยงด้วย เพราะถ้ากราฟมันสามารถทายผลได้แน่นอน ในโลกนี้คงไม่มีใครขาดทุนเพราะกราฟหรอกครับ ทิ้งท้าย ผมมักชอบแนะนำให้คนที่สนใจในการลงทุน และสนใจเรื่องกราฟจริงๆ ให้ศึกษาจากการอ่านในเน็ท และหนังสือ มากกว่าที่จะไปเรียนโดยมีคนสอนครับ แล้วนำเงินที่จะไปลงเรียนนั่นละครับ มาลงทุน เพราะอะไรน่ะหรอครับ? เพราะผมเชื่อว่าการที่จะประสพความสำเร็จได้นั้น นอกจากมีเงินลงทุนแล้ว ยังต้องมีความตั้งใจจริงที่จะทำ และกระตือรือร้นในการศึกษาประกอบกันด้วย ซึ่งผมคิดว่าการตั้งใจอ่านและศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากว่าคุณจะสนใจในเรื่องนั้นจริงๆเท่านั้น แต่เชื่อเชื่อเถอะว่าถ้าคุณสามารถผ่านตรงนี้ไปได้ คุณจะมีแรงจูงใจมากกว่าการไปเรียนตามคอรส์ต่างๆแน่นอน และประสพการณ์ที่ได้จากการลงทุนจริงๆในตลาด ไม่สามารถหาเรียนได้จากคอรส์เรียนใหนๆ | |
|
|
|
| |
| |
|
|
| | | | | | | | | | | | | เว็บบอร์ดสนทนาเฉพาะสมาชิก |
|
| | | | | | | | | | | | | | | | | | | 
สอบถามไปรษณีย์ 1545 |
|
| | | | | | | | | | | |
|
|